Cranbrook Schools
Cranbrook Schools | |
ที่อยู่ | |
---|---|
39221 Woodward Avenue P.O. Box 801 | |
ข้อมูลทั่วไป | |
ประเภท | College Preparatory School |
เว็บไซต์ | schools.cranbrook.edu |
เนื้อหา
Introduction
Cranbrook Kingswood School
หรือเรียก สั้นๆว่า Cranbrook Schools Bloomfield Hills, MI
- แล้วคุณจะไม่ถูกขังอยู่ใน Prep School เล็กๆ
- "โรงเรียนเราไม่ได้อยู่ในป่า แต่มีป่าอยู่ในโรงเรียน" (P'Pin 48)
- โรงเรียนที่มีเวลาพักระหว่างคาบ นานที่สุด ถึง 15 นาที
- โรงเรียนเดียวที่ได้นั่งรถบัสทุกวัน (ยกเว้นน้องจะฟิตเดินนะครับ)
- โรงเรียนที่ใกล้ Apple Store ที่สุด
อย่างที่บอกครับ มาที่นี่แล้วจะไม่ต้องบ่นว่าถูกขังอยู่ในโรงเรียนเล็กๆ เหมือนเพื่อนๆ เค้า เพราะว่า คุณจะ...อยู่ในโรงเรียนใหญ่ๆ แทนก่อนอื่นต้องบอกว่า โรงเรียนเราอยู่ใน Michigan ครับ ซึ่งต้องนับว่าไกลจากเพื่อนฝูง New England และก็ไกลจากเมืองใหญ่ๆ ทั้งหลายที่ไปเดินเที่ยวเล่นได้ เช่น Chicago, NYC, Boston, หรือ Philly ค่าโดยสารไปหาเพื่อนๆ จะค่อนข้างแพงมาก เพราะต้องบืนไป เมืองใหญ่ที่ไปได้ก็คือ Chicago นะครับ ประมาณ 5 ชั่วโมงโดยรถบัส (จริงๆมีเมือง Detroit อยู่ห่างไปแค่ 45 นาที แต่เป็นเมืองที่อันตรายมาก ไม่น่าเที่ยวครับ และโรงเรียนก็จะไม่ยอมให้น้องไปด้วย)
Campus
ก่อนจะเจาะลึกในรายละเอียด มาดูภาพคร่าวๆ ของ CK กันก่อน
โรงเรียนเป็นทั้ง Boarding และ Day School ครับ Boarders ส่วนมากก็จะเป็น International students ซึ่งนั่นก็คือ Asians โรงเรียนของเรา เห็นรุ่นพี่บอกๆกันมาว่าใหญ่ แต่เอาจริงๆพื้นที่ก็ไม่ต่างจากโรงเรียนอื่นๆมากนัก (private schools ที่ US จะใหญ่กว่าโรงเรียนในไทยมากๆนะครับ) พี่เดาว่าที่เขาบอกกันว่าใหญ่เพราะมีการเรียนการสอน 2 campus และได้ขึ้นบัสรอบโรงเรียนทุกวัน อาจทำให้พี่ๆมองว่าใหญ่ เพราะโรงเรียนอื่นๆ ถึงจะใหญ่ แต่อยู่จริงๆก็แค่หย่อมเดียวที่มี dorms กับตึกเรียนครับ อ้อ พื้นที่โรงเรียนนี้ประมาณ 3.5 เท่าของ Brewster Academy นะครับ เผื่ออยากนึกภาพล่วงหน้า Cranbrook Schools ประกอบไปด้วยโรงเรียนย่อยๆ ดังนี้ Brookside (Elementary School ครับ), Boy Middle School, Girl Middle School, และ Upper Schools (Cranbrook Kingswood School)
สำหรับ Upper School เรามีสอง Campus ครับ เนื่องด้วยในสมัยก่อนนั้น ผู้ก่อตั้งโรงเรียน George Booth ได้สร้างโรงเรียนชายล้วนขึ้นมา ชื่อว่า Cranbrook School ผ่านไปซักพักนึง ภรรยาของท่าน Ellen Booth บอกว่า นี่มันไม่เท่าเทียมกันเลยนะ เธอเลยสร้างโรงเรียนหญิงล้วนขึ้นมาชื่อว่า Kingswood School ครับ แต่ผ่านไปสักระยะหนึ่ง เค้าก็สำนึกว่า พระเจ้าสร้างผู้หญิงและผู้ชายมาเพื่ออยู่ด้วยกัน (หะๆ) เค้าก็เลยรวมโรงเรียนเข้าด้วยกัน ชื่อว่า Cranbrook Kingswood School มันก็เลยมี 2 Campus ครับ
ทั้งสอง Campus ห่างกันเป็นระยะ 5 นาทีรถบัส และประมาณ 10-15 นาทีเดินผ่านป่าครับ ช่วงที่มีหิมะไม่แนะนำให้เดิน ยกเว้นจะมี Boots ดีๆนะครับ อาจใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย ในปัจจุบัน Cranbrook ก็จะเป็นฝั่งที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศาสนา ศิลปะ (Performing Art) และภาษาต่างประเทศ และก็จะเป็นหอพักชายครับ ส่วน Kingswood ก็จะเป็นฝั่งที่เรียนวิชาประวัติศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ESL และศิลปะ (Fine Art) และก็จะเป็นหอพักหญิง
อย่างที่บอกไปแล้ว รร เรามีเวลาระหว่างคาบนานที่สุด ถึง 15 นาที เพราะว่าการเดินทางระหว่าง Campus จะมี รถบัส สีเหลือง คันใหญ่ๆ (ปีนี้มีสีขาวเพิ่มมาหนึ่งคัน) ให้บริการครับ ใช้เวลาประมาณ 4-5 นาที ในการขับรถ แต่อาจจะต้องรอรถออก 2-5 นาที ประเทศนี้เรื่องความตรงต่อเวลาสำคัญนะครับ
นอกจากนี้แล้ว สิ่งที่พี่ว่าดีมากๆ คือ นอกจากโรงเรียนแล้ว ใน Campus เรายังมีอีกหลายสถาบันที่เหมาะแก่การหาความรู้มากๆ นี่พูดจริงๆ
1. Cranbrook Academy of Art และ Art Gallery
เป็น Grad School ด้าน Fine Art อันดับสองของอเมริกาครับ ผลิตนักศิลปะชื่อดังของโลกมากมาย (ไว้กล่าวทีหลัง) ห้องสมุดของ Academy of Art ใช้บัตรนักเรียน เข้า และ ยืม ได้ครับ Art Gallery ก็ดีมากๆ ครับ ก็จะมี exhibition ด้าน art ดังๆ มาจัดเป็นระยะๆ ปกติก็ต้องจ่ายเงินแพงๆ เข้ากันตามระเบียบ แต่ถ้ามีบัตรนักเรียน ก็เข้าฟรี ครับ พี่ก็ชอบไปเดินดู Gallery บ่อยๆ จะได้รับรู้ถึงความงามของศิลปะ
2. Cranbrook Institute of Science
เป็นศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์ (ซักด้าน รู้ว่ามีเรื่อง อินเดียนแดง เรื่องอื่นไม่รู้อ่ะ) และพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ครับ ดีมากๆ ครับ ก็เหมือนพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ดีๆ ซักที่หนึ่ง มีอะไรให้ลองเล่นมากมาย จะมีเรื่องอินเดียนแดงเยอะเป็นพิเศษครับ มีหอดูดาว ซึ่งบางวันจะเปิดให้ไปดูดาวได้ วันดีคืนดีก็จะมีนักวิทยาศาสตร์มาบรรยายครับ พี่เคยไปฟังครั้งนึง เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำวิจัยเกี่ยวกับ สัตว์จำพวกแมมมอท คนนี้เค้าเป็นคนเจอตัวลูก ที่อยู่ในน้ำแข็ง และเป็นคนพัฒนาทฤษฎีการศึกษาแมมมอท จาก "วงในงา" ไปเปิดเจองานของเค้าเป็น อันดับประมาณ 20 ผลงานวิทยาศาสตร์สุดยอดในปี 2007 ใน Discovery ด้วย อ้อ บัตรนักเรียน เข้าฟรี ครับ
นอกจากนั้นในอาณาเขตของโรงเรียน สวยงามมากๆ ครับ มี Cranbrook House ซึ่งพี่เข้าใจว่า เคยเป็นบ้านของใครซักคน ซึ่งพื้นที่รอบๆ สวยมากๆ โดยเฉพาะใน Fall มีสวนดอกไม้ รูปปั้นมากมาย น้ำพุ บ่อน้ำ แล้วระหว่าง Kingswood กับ Cranbrook ก็มีทะเลสาบขนาดย่อมๆ อยู่ด้วยครับ ที่เหลือก็เป็น "ป่า" ซึ่งถ้าเป็น Fall ก็จะสวยและโรแมนติกมากๆ ใน winter ที่มีหิมะปกคลุม ก็จะสวยงามไปอีกแบบ ไว้เอารูปมาลงให้ดูภายหลัง
ข้อเสียของความใหญ่ ก็คือมันใหญ่ครับ ถ้าคนไม่ชอบเดินก็อาจจะลำบากนะครับ
Location and Transportation
Suburban ครับ "suburban ของแท้แน่นอน ไม่มีที่ไหน suburban ไปกว่าที่นี่อีกแล้วค่ะ ทุกอย่างต้องใช้รถออกไป ไม่มีรถ = เสียชีวิต" (P'Pin 48; P'Mon 55 strongly agrees) จริงอย่างที่พี่พิณว่าครับ คือ ที่นี่รถยนต์ส่วนตัวจำเป็นมาก (แค่จะออกไปยืนหน้าป้าย รร) ไม่มีการขนส่งมวลชนใดๆ ผ่านครับ วิธีการในการออกไปข้างนอกมีสามอย่าง คือ 1. Taxi โทรเรียกได้ ราคารับได้ 2. จีบเพื่อนที่มีรถไว้ หรือ อ้อนอาจารย์ให้ไปส่ง 3. Dorm Ride
ตอนเบรก จะมีรถบัสไปรับ-ส่ง สนามบิน (แต่ไม่มีไป Bus Stations หรือ Train Station ตอนนั้น Adviser พี่ขับไปส่งครับ)
คือ โรงเรียนมันไม่ได้บ้านนอกนะ มีทุกอย่างให้ทำได้ ภายในระยะขับรถ 15 นาที โรงเรียนจะมีพาออกไปข้างนอก ด้วย Dorm Ride ทุกอาทิตย์ครับ ก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่อาทิตย์ จะขอกลับก่อนหรืออะไร ก็คุยกับคนขับรถครับ ตัวอย่าง สถานที่รอบๆ ที่ไปได้ครับ
1. Birmingham / Border Ride
แท็กซี่ประมาณ $10-15 ครับ จะมีทุกวันศุกร์กลางคืน 6.30 - 10.00 pm Birmingham เป็น downtown ขนาดย่อม ห่างออกไปประมาณ 10 นาทีครับ เป็น downtown คนรวย ที่สวยมาก ร้านค้าตู้กระจก ได้แต่เกาะอยู่ข้างนอก เพราะว่าราคาจับต้องไม่ได้ แต่มีโรงหนังสองโรงครับ ก็ไปดูหนังได้ ร้านอาหารมีเยอะมากครับ มีร้านอาหารเกาหลี จีน ญี่ปุ่น มากมาย และร้านอาหารไทย 3 ร้าน ไม่ค่อยไทยมาก แต่ก็อร่อยดี มันจะอร่อยถ้าเราไม่ได้ตั้งใจไปทานอาหารไทยครับ ราคาอาหารไม่แพงครับ ร้านที่ชื่อ New Bangkok ดีที่สุดครับ มีร้านไปหาไรกินน่ารักๆ มากมาย เช่น ไอติม กาแฟ เดินไปโครเกอร์ เพื่อซื้อสเบียงได้ หรือจะบอกให้เค้าไปส่งที่ Border (ร้านหนังสือใหญ่ๆ) ก็ได้ครับ
2. Royal Oak
เป็นเมืองคล้ายๆ Birmingham แต่ไฮโซน้อยกว่า (แปลว่าของถูกกว่า) และร้านอาหารเยอะกว่าครับ มีโรงหนัง 1 โรง มีร้านหนังสือใหญ่มาก (สำหรับใครที่ไม่ชอบสั่ง online) มี Citizens Bank (ที่นี่เรียกมันว่า Charters One ไม่รู้ทำไมครับ) แต่ร้านขายเสบียงแบบ Kroger หรือ Walmart นี่ไม่มีใกล้ๆจุดรับ-ส่งของบัสโรงเรียน
3. Somerset
มีประมาณ 2 อาทิตย์ครั้ง ทุกวันเสาร์ 1.00-4.00 pm เป็นห้างหรูๆ ก็ไปเดินเล่น นั่งเล่น shopping ซื้อเสื้อผ้าได้ ที่สำคัญ มี Apple Store ครับ ทำให้โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่ใกล้ Apple Store ที่สุด ดีเพราะอย่างนี้เอง
4. Greatlake
จะมีนานๆ ครั้ง พี่ว่าเดือนละครั้ง ก็เป็นห้างใหญ่ๆ ใหญ่มากๆ อยู่ห่างออกไปสักครึ่ง ชม แต่ว่าราคาเสื้อผ้าจะถูกกว่า Somerset ก็ไปเดินเล่นได้ครับ (ไม่มี Apple Store)
5. ที่เหลือก็แล้วแต่โอกาส ครับ ก็เป็นพวก Walmart, Target, Meijer, Asian Market ก็ไปตุนอาหาร หาข้าวของเครื่องใช้ ได้ครับ
6. Special Occasion
ก็บางทีเค้าอารมณ์ดีก็จะพาไปที่แปลกๆ อย่างเช่น ที่นี่มีพาไป Laser Tag คือเหมือน paint ball อ่ะ แต่เป็น laser แต่พี่ไม่เคยไปอ่ะ พี่ว่ามันติงต๊อง สู้ รด ไทยไม่ได้ซักนิด หะๆๆ
มีบางครั้งพาไปดู Baseball หรือ NBA แต่พวกนี้ต้องดูดีๆหรือถามนะครับ บางครั้งเค้าจะให้เราออกค่าตั๋วเอง ซึ่งอาจจะทำให้เราจนได้ครับ
อ้อ มีพาไป Detroit Motor Show ด้วยนะ ออกค่าบัตรให้เราฟรีด้วย อันนี้ P'Parp 54 แนะนำครับว่าดีมาก
Weather
เค้าว่ากันว่าหนาว ของเก่าที่พี่ๆเขียนไว้.....
"หนาวครับ ความจริงมันก็ไม่ได้หนาวอะไรมากมายนะครับ ไม่ได้หนาวไปกว่าพวกอยู่ New England เท่าไร แต่ว่ามันหนาวเร็วกว่า และเลิกหนาวช้ากว่า เท่านั้นเอง แต่ลมแรงกว่า แต่ก็ไม่แรงเท่าฝั่ง Illinois ครับ ที่พี่บันทึกไว้ หนาวสุดแบบไม่รวมลมมัน -1 F เองครับ"
แต่ปีนี้ (2012-13) พี่อยู่มาถึง Jan14 เพิ่งเจอหนาวสุดก็แค่ประมาณ -5 C เองนะครับ อุ่นกว่า New England หรือ Minnesota มากมาย ปีนี้เห็นเพื่อนๆบอกกันว่าไม่ค่อยหนาวครับ
หิมะตก แล้วก็อยู่ในหิมะเป็นเดือนๆ แต่ว่าหิมะนี่สวยมาก ชอบ ถ้าฤดูหนาวที่ไม่มีหิมะ คงดูแย่น่าดู ยิ่งทางเดินไป Kingswood ก็จะเป็นหิมะคลุมทั้งหมด ทะเลสาบแข็งเป็นสีขาว มองไปเห็นโรงเรียนอีกฝั่ง สวยป่ะ ปี 2012-13 เพิ่งเห็นหิมะไม่ถึงอาทิตย์เลยครับ แต่ปีอื่นๆน่าจะอยู่เป็นเดือนจริงครับ
แต่มันหนาวเราก็อยู่ได้ครับ เพราะว่าโลกนี้มีฮีตเตอร์ แล้วการเดินทางใน รร ระหว่างอาคารก็ไม่ได้ลำบากครับ เพราะว่าที่นี่เค้าจะมีท่อความร้อนอยู่ใต้ทางเดินครับ เพราะฉะนั้นไม่ว่าหิมะจะตกหนักแค่ไหน ตรงทางเดินก็ไม่มีหิมะเกาะ อาจจะหนาวหน่อยตอนเดินไปขึ้นรถบัส ในป่าระหว่าง campus ไม่มี heater นะครับ ต้องลุยหิมะ ซื้อ Jacket ให้ไปกับเพื่อนฝรั่งที่เป็นคนที่นี่อะครับ เค้าแนะนำได้ Jacket ไม่ต้องเน้นถูกมากครับ คุณภาพและความอุ่นมันแปรผันตามราคาจริงๆครับ
อีกอย่าง ข้อดี คือที่นี่อากาศดีครับ แปลว่า อากาศพยากรณ์ได้ ส่วนมากเปลี่ยนแล้วจะ stable อย่างน้อย 3-4 วัน ซึ่งถ้าพายุหิมะหรือลมแรงคร่อม weekend ก็ GG ครับ นอนอยู่ dorm (ลมแรงที่นี่คือแรงจริงๆและหนาวมากๆนะครับ ลมปกติหลายคนอาจเรียกว่าลมแรง)
อันนี้ของพี่พิณ อากาศ หนาวค่ะ ยอมรับเลยว่าหนาว แต่ว่า ก็ไม่หนักเท่ากะที่พี่เคยคิดไว้ ก่อนมานี่ ได้ถามพี่รร.ว่า หนาวมากมั้ย เพราะมิชิแกนมันเหนือมาก พี่กลัวหนาวสุดๆ ประมาณว่า มือเย็นแล้วจะทำงานไม่ได้อะค่ะ พี่รร.ก็บอกว่า หกเดือนอยู่ในหิมะ อะน้อง แต่ว่า มันไม่จริงนะคะ ไม่ถึงหกเดือนแน่นอน แล้วก็ หิมะเป็นอะไรที่น่ารักมาก ตอนอยู่ บรูสเตอร์มีคนบอกพี่ว่า อยู่กับหิมะปีเดียวไม่พอหรอก พี่ไม่เชื่อค่ะ แต่ว่า มันก็เป็นจริงๆ หิมะสวยแล้วก็น่ารักมาก ตอนนี้ก็กะลังรอให้ตกอยู่ ฤดูหนาวมันต้องมีหิมะค่ะ มะงั้นทุกอย่างจะขาดความสวยงามมาก นึกภาพดูนะ ต้นไม้ก็ไม่มีใบแล้ว พื้นหญ้าก็แห้งๆ อากาศก็แห้งๆหนาว ไม่มีอะไรสดชื่นเลย แล้วหิมะขาวๆน่ารักๆ ก็ตกลงมาค่ะ โอ้โห ทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวไปหมด สวยมากๆค่ะ เหมือนกับ หญ้ากลับมามีชีวิตชีวา เพียงแต่เป็นสีขาวแทนสีเขียว ใบไม้แตกใบใหม่ เป็นสีขาวแทน มันขาวไปสุดลูกหูลูกตาเลยนะ ท้องฟ้าก็สีกลืนไปกับพี้น สวยมั่กๆ สำหรับน้องที่ชอบอากาศหนาว ที่นี่ไม่ทำให้น้องผิดหวัง แต่ถ้าไม่ชอบ พี่ว่า มันก็เป็นการท้าทายตัวเองที่ดีนะ ความจริงพี่ก็ไม่ชอบอากาศหนาวเลย ตอนนี้ก็ไม่ได้ชอบ แต่ชอบหิมะ และพี่ก็ค้นพบว่า พี่สามารถอยู่ในอากาศหนาวอย่างมีความสุขได้ แม้มือจะเย็นก็ทำงานได้ (มะก่อนทำไม่ได้)
ถึงจะบอกว่าหนาวนะ แต่ลองเทียบๆ กะพวกที่ แมสซา ก็ไม่ได้ต่างกันมากนะ พี่ว่า พวกนั้นก็บ่นหนาวเหมือนกัน คือที่นี่ อาจจะเริ่มหนาวเร็วกว่า แต่ว่า ไม่ได้หนาวมากกว่า อะค่ะ
ที่จริงอากาศที่นี่ มีดีอย่างนึงล่ะ เรามีฤดูเดียวแน่ๆ ในหนึ่งวันค่ะ (ไม่เหมือนพวก new England ที่บางทีเจอสามฤดู ในหนึ่งวัน)ที่นี่ตั้งแต่มาถึงช่วงปลาย fall ก็ต้องใส่เสื้อหนาวแล้ว มีหิมะตก แต่ว่ามันสวยและไม่เปียก ฝนหายากค่ะ ไม่ต้องกลัวว่า แดดออกอยู่ดีๆ จะมีฝนตกหนักค่ะ พี่ไม่ได้เอาร่มมาด้วย ตอนแรกว่าจะซื้อ แต่ก็ผ่านมาได้โดนไม่ต้องมีร่มค่ะ แค่เสื้อหนาวแบบกันน้ำได้ตัวเดียวเกินพอแน่นอนค่ะ แม้ว่าเด็กที่นี่ชอบหาว่า Michigan weather's suck แต่เพราะว่าเค้าไม่เคยไปอยู่ New England ค่ะ เลยว่าอย่างงั้น เพราะอากาศที่นี่ คงที่จริงๆ นะ เดาได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพยากรณ์อากาศค่ะ ไม่ชัวร์ก็ใส่เสื้อหนาวค่ะ ยังไงมันไม่อยู่ๆร้อนเกินแน่ๆ อิอิ
Food
แล้วแต่วันครับ พี่ว่าอร่อยใช้ได้นะ อาจจะไม่ดีสุดยอดเหมือน Tafts แต่ก็ไม่ได้กากเหมือน Kent หรือ Concord เทียบกับ Brewster ฝีมือดีกว่าเล็กน้อย แต่คุณภาพวัตถุดิบดีกว่ามากครับ
เป็นแบบ Buffet ทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น กลางวันมีพิซซ่าให้กิน ไม่รู้จะกินไรก็กินพิซซาได้ มีสลัดบาร์ตลอด และ Sandwich Bar ไม่รู้จะกินไรก็กินนี่ได้
เย็นจะมี Ice Cream เสาร์ อาทิตย์ จะมีเป็น Brunch (แปลว่า breakfast+lunch หมายถึงมื้อแรกของวัน แต่ทานช่วงเที่ยงครับ) ซึ่งสั่ง Omelette ตามสั่งได้
ถ้าเป็นหอหญิง เค้าบอกกันว่า อาหารจะดีกว่า (ทดสอบแล้ว ไม่ได้ดีไปกว่ากันเล้ย/// แต่ผมว่าดีกว่านะ//Mon 55)
อ้อ หอหญิงทำอาหารได้ครับ ก็ไปซื้อข้าวของเข้ามาเก็บตู้เย็นไว้ แล้วอยากทำอาหารไทยกิน แบ่งเพื่อนๆ ก็ทำกินได้ (ไม่รู้เปลี่ยนหรือยังนะครับ พี่ไม่ได้อยู่หอหญิง รู้แค่ครัวยังมีอยู่) ผู้ชาย ทำได้ครับ แต่ครัวจะกากกว่าของผู้หญิงนิดนึง หลักๆผู้ชายก็ทำอยู่แค่อาหารแช่แข็งกับ instant noodle แหละครับ จะใช้ครัวต้องขอกุญแจ ถ้าไม่เจอคนชื่อ Keck ก็ไม่มีปัญหา
Academic
พอใช้ครับ ระบบการเรียนแบ่งเป็น 2 เทอมครับ เกรดเทอมแรกส่งไป colleges ครับ (ยกเว้นกรณีน้องได้ wait list อาจใช้เกรดถึง Midterm 2 ด้วย) เกรด A,B,C,D ตัด GPA A นับเป็น 4 เหมือนเมืองไทย, A- ได้ 3.75, B+ ได้ 3.25 A+ ไม่มีให้เพิ่ม ได้ 4 เท่าเดิม เอาไปประดับ transcript เล่นๆ ถ้าวิชา AP เอาไปบวกหนึ่งก่อน GPA เช่น ได้ A ใน AP Physics ก็ได้ได้เป็นค่า GPA = 5 85.5% ได้ B+ 88.5% ได้ A- 91.5% ได้ A 97.5% ได้ A+ ต่ำกว่า B+ ไม่แนะนำให้น้องได้นะครับ
เกรดตอน prep school ถึงจะเทอมเดียวก็สำคัญมากนะครับ เพราะมหาลัยเค้าเชื่อในมาตรฐานโรงเรียนของ US มากกว่า ดังนั้นเกรดเทอมนี้นี่แหละที่จะ represent ความขยันของน้องตลอดช่วง high school (ม.3 ถึง Post Grad)
การบ้าน น้อยครับ เทียบกับโรงเรียนอื่นๆ บริหารดีๆมีเวลาฟิต SAT วันละอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ถ้าสมมติว่ามีกำหนดส่ง Major Paper หรือ Test อยู่แล้ว 2 วิชาในวันเดียวกัน น้องสามารถขอเลื่อนกำหนดส่ง หรือสอบ ของวิชาที่ 3 ได้ครับ
ไม่ได้ยากอะไรมาก แต่ก็ไม่ได้ถึงกับง่ายจนไม่ต้องทำอะไร
วิชาที่น้องต้องเรียน
ที่นี่ทุกคนในชั้นเดียวกันไม่ต้องเรียนวิชาเหมือนกัน เลือกลงได้ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
=> ต้องลงเรียนเทอมละอย่างน้อย 5 วิชา อย่างมาก 6 วิชา
=> มีอย่างน้อย 1 วิชาอยู่ในแต่ละหมวดด้านล่างนี้
1) Math มี 4 วิชาที่พี่แนะนำให้น้องเลือกบางอันครับ
- AP Calculus AB => มันคือ Calculus แบบง่ายครับ พี่เห็นเพื่อนๆสายศิลป์เค้าเรียนกัน น้องสายวิทย์พี่ไม่แนะนำนะครับ - AP Calculus BC => ถ้ารนักเรียนคนอื่นจะต้องจบ AB มาก่อน แต่ส่วนมากเค้าจะจับ TS ไปลงตัวนี้เลย พี่เชื่อว่าน้องทุกคนเรียนตัวนี้ไหวครับ (น้องสายศิลป์ด้วยนะ) แต่อาจต้องพยายามมากน้อยต่างกันครับ - AP Statistics => อาจลงเป็นตัวที่ 2 ถ้าน้องเรียน AB หรือ BC เป็นตัวแรก course นี้ไม่ค่อยเป็นเลขเท่าไร แต่เห็นรุ่นพี่เค้าบอกกันมาว่า AP Stat ได้ 5 ง่ายมากครับ - Advanced Topics in Calculus 3 and Statistics => นี่คือตัวที่พี่เรียนอยู่ครับ จะเรียน Multivariable Calculus ถึงครึ่งเทอมแรก จากนั้นจะเป็น AP Statistics แบบติดเครื่องครับ มันส์ดีนะ เกรดง่าย ห้องเรียนเล็ก เพื่อนในห้องก็จะแบบ geniusๆ หน่อย transcript ก็ดูดีครับ
เครื่องคิดเลข แนะนำ TI-84 ครับ แต่ถ้าขี้เหนียวซื้อ TI-83 มาก็ได้ มีบาง function ที่ไม่มี แต่มัน program ได้ครับ ถามอาจารย์ดู ปล พี่ให้อาจารย์สอน Calculus ที่ชื่อ Fred เขียน recommendation letter ให้นะครับ
2) Science
- Grade 12 ทุกคนต้องเรียน Physics ซึ่งพี่ก็แนะนำให้น้องเรียน AP Physics C ครับ วิชานี้ Cal-based แต่ไม่ยากครับ อาจารย์สอนเก่ง เข้าใจดี บางเรื่องพี่ไม่ค่อยเข้าใจไปจากไทยเค้าก็ทำให้พ่เข้าใจขึ้นอะนะ อาจารย์ชื่อ Norton นะครับ แค่เขาแก่มากแล้ว ไม่รู้ปีหน้าจะยังอยู่หรือเปล่า - นอกจาก Physics น้องที่ชอบวิทย์ตัวอื่นๆอาจจะลง AP Biology, AP Chemistry, หรือ AP Computer Science AB ได้นะครับ ไปถามห้องวิชาการได้ เค้าไม่กัดเหมือนที่ไทยครับ อ้อ AP ComSci เรียนเทอมเดียวนะครับ เนื้อหาเป็น Java เค้าว่ากันว่าเกรดง่าย ส่วนเคมีกับชีวะก็ธรรมดานะครับ คนเค้าเรียนกันก็ไม่มีใครบ่นยาก แต่พี่ไม่ชอบครับเลยไม่เรียน
3) English มีแนะนำ 2.5 options ครับ
- World Literature => ปกติคนเรียนคือเด็กเกรด 10 ครับ รุ่นพี่ๆเค้าเรียนตัวนี้กัน แต่พี่นอกคอกครับ - American Literature => ปกติคนเรียนคือเกรด 11 พี่เรียนตัวนี้ครับ พี่ว่ามันดีกว่าตรงที่ ตามชื่อวิชาเลยครับ เราจะได้เรียนวรรณกรรมของ US จริงๆไล่มาตามยุคสมัย ตั้งแต่ 17xx ไปจนถึงเกือบ 2000 อะ ไหนๆมาถึงอเมริกาแล้วเราก็น่าจะได้เรียนรู้อะไรที่มันเป็น American หน่อยนึงนะครับ อ้อ แล้วก็เพื่อนร่วมห้อง Grade 11 จะเป็นผู้ใหญ่กว่า Grade 10 พอสมควรเลย เราก็น่าจะปรับตัวเข้ากับ classmates ได้ง่ายขึ้น (อย่าลืมว่าน้องจะ take บางวิชากับ Grade 12 นะครับ) - Senior Literature (e.g. Shakespeare) => เป็น English ที่ Grade 12 ทั่วไปเค้าเรียนกัน พี่นับอันนี้เป็นแค่ 0.5 options เพราะไม่แน่ใจว่าเค้าจะยอมให้น้องเรียนหรือเปล่า แต่พี่ว่ามันน่าเรียนดีเพราะน้องจะได้เรียนกับ Grade 12 ซึ่งน้องจะสนิทที่สุด แล้วด้วยความที่มันเป็น course ระดับสูงกว่า มันก็จะทำให้ transcript น้องสวยขึ้น ความยาก พี่ว่า Literature เรียนเกรดไหนมันก็ยากหมดแหละ เกรดจะเน่ามากเน่าน้อยมันก็ขึ้นกับอาจารย์ น่าลองดูครับ (มันไม่ได้มีแค่เชคสเปียร์นะครับ มันมีอยู่ 4-5 ตัวอะ น้องลองไปถามห้องวิชาการดู)
4) Social Science มี 1.5 options
- American History => ก็ ตามชื่อครับ American History เรียนตั้งแต่อารยธรรม Maya, Inca, Aztec จนถึง election of 2008 ที่ Obama ได้เป็น president มีอาจารย์สองคนครับ ถ้าเจอคนชื่อ Karinen ก็นอนตีพุงได้เลยครับ History ที่นี่เรียนไม่น่าเบื่อเหมือนที่ไทยครับ ที่นี่เค้าเปิดช่องว่างให้เราคิด ไม่ใช่พิมพ์ชีทมาให้เราท่อง เรียนแล้วได้ประโยชน์ครับ ไม่ใช่ได้เฉพาะข้อมูล - AP US History or AP European History => AP US ปกติจะเป็น Grade 11 ที่เก่งๆเรียนครับ ส่วน AP Euro ก็จะเป็น Grade 12 บางคน เห็นเค้าว่ายากกัน แต่ถ้าน้องคิดว่าโหด+ฟิตพอ ก็น่าจะขอลองดูได้ครับ บางทีพี่ก็รู้สึกว่าเรียน American History นี้มันง่ายเกินไป มี AP History อีกตัว transcript ก็สวยขึ้นไปอีกครับ (อีกครั้ง มันเป็น 0.5 options เพราะพี่ไม่ชัวร์ว่าเค้าจะยอมให้น้องลงเรียน)
5) Foreign Language
- ESOL (ชื่อเต็มยาวโฮกๆ ประมาณ English for non-native อะไรพวกนี้) อาจารย์ใจดีมากๆ ชื่อ Ms.Apsey ไม่ค่อยได้เรียนอะไรมาก แต่ก็สบายดี คือจะไปขอให้เค้าตรวจ Essay ต่างๆ ได้ครับ แบบการบ้านวิชาอื่น หรือว่า college essay ให้เค้าตรวจก่อนก็ได้ครับ เวลามีสอบ TOEFL หรือจะไป bank ไปอะไรก็ให้ Apsey ไปส่งหรือหาคนไปส่งให้ได้ครับ
6) Art "เค้าบอกว่า ที่นี่ art แข็งแรงมากๆ ควรจะลงไว้ครับ พี่ไม่แน่ใจว่าบังคับเปล่า ถ้าน้องอยากทำเรื่องดนตรี หรือ การแสดงก็ได้ครับ แต่พี่ไม่ถนัด ก็ทำเรื่อง Fine Art ครับ ก็สนุกดี ตอนแรกนึกว่าจะทำไม่ได้ แต่เรียนแล้วก็สบายใจดีครับ พี่ลง Sculpture เทอมแรก และ Metalsmith/Jewelry ตอนเทอมสอง" (พี่ TS ซักรุ่นเขียนไว้)
พี่ยังไม่ได้เรียน Art เลยครับ จะเรียน Speech ตอนเทอมสอง ดีไม่ดีอย่างไรเดี๋ยวมาอัพให้ครับ
ทำเนียบ Thai Scholars
- TS47 (2004-2005): สถาปนวัฒน์ สิทธิหาญ (แพท/P'Pat) ทุนไทยพัฒน์ (พิเศษ) [Cornell University -> Massachusetts Institute of Technology], พงศกร กาญจนบุศย์ (ตั๋ม/P'Tum) ทุน พสวท. [Washington University in St. Louis -> University of Chicago]
- TS48 (2005-2006): กุนทินี การุณรัตนกุล (พิน/P'Pin) ทุนบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด [University of Virginia]
- TS49 (2006-2007): กนกวรรณ จำปาสา (ผักกาด/P'Paggard) ทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี [Bowdoin College]
- TS50 (2007-2008): ธันวา ธีระกาญจน์ (นิคส์/P'Nics) ทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี [Brown University]
- TS51 (2008-2009): ร้อยกรอง สุขเกิด (ซอ/P'Sor) ทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี [University of Washington]
- TS52 (2009-2010): ณัฐสิทธิ์ ด่านชลวิจิตร (นอร์ท/P'North) ทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี [University of Michigan-Ann Arbor]
- TS53 (2010-2011): เขตภากร ชาครเวท (จ๊อบ/P'Job) ทุนxxxxxx (รอเช็คกับพี่เค้าอยู่เพื่อความชัวร์ครับ) [Massachusetts Institute of Technology]
- TS54 (2011-2012): ภาพรพี บัวสนธ์ (ภาพ/PParp) ทุนกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี [University of Illinois at Urbana-Champaign]
- TS55 (2012-2013): ยศธร ทะวะบุตร (หม่อน/P'Mon) ทุนโอลิมปิกวิชาการ สาขาดาราศาสตร์ [ยังไม่มีที่ไป แต่ข้างบนโหดกันจุงเบยยย TT]