Oregon Episcopal School
นักเรียน oes หน้าสดใส ในงานแข่งกีฬา
นักเรียน oes หน้าสด ในงานปัจฉิม
เนื้อหา
สาระล้วนๆ
- เว็ปโรงเรียน http://www.oes.edu/
- OES หรือ Oregon Episcopal School เป็นโรงเรียนเอกชน ชื่อดังจากฝั่ง west coast เป็นโรงเรียนที่ รวม lower school (1-5 grade) middle school (6-8 grade) upper school (9-12 grade) เข้าด้วยกัน
- โรงเรียนอยุ่ที่ 6300 SW Nicol Road, Portland, OR, 97223
- เบอร์ติดต่อ (503) 246-7771 ส่วนเบอร์ Dorm ก็ (503) 515-5797
- สีประจำโรงเรียน เป็นสีเขียวชอุ่ม (สีเขียวของป่าเขา) กับสีขาว
- สีเขียวเเสดงถึงธรรมชาติที่สวยงาม รอบๆตัวโรงเรียน เเถมโรงเรียนยังมี พื้นที่ป่าส่วนตัวสำหรับ การเรียนรู้วิชา ชีวะวิทยา กิจกกรมดูนก อีกด้วย
- สีขาวเเสดงถึงความสะอาด เเจ่มใส สังคมที่ดีของโรงเรียน ไม่ว่าไปทางไหน ก็มีเเต่คนยิ้มทักทาย สไตล์ตะวันตก
- เรื่อง ความหมายของสีประจำโรงเรียน มาจากการคาดการณ์
- สัตว์ประจำโรงเรียนคือ Aardvark หรือ ตัวกินมด
วิชาการ
- เป็นเเบบ semester : Fall semester เเละ Spring semester
- มีวันหยุดยาวทั่วไป (เหมือนๆโรงเรียนอื่น) คือ thanksgiving, winter break, เเละ spring break
- เกรดจะใช้ ระบบ ABC
- requirement ของโรงเรียนสำหรับจบการศึกษา
- On campus service : บำเพ็ญประโยชน์ในโรงเรียน (15 hr for TS)
- Off campus service : บำเพ็ญประโยชน์นอกสถานที่ (5 hr for TS)
- Service Project : ทำบันทึกเเละพรีเซนเทชั่น ของ กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ที่เข้าร่วมเป็นเวลานาน
- โดยคนที่ดูแลเกี่ยวกับ Service คือ Robin Schauffler ซึ่งเป็นคนที่คุยได้ง่ายชิวๆ อีกอย่างเค้าเคยสอนอังกฤษมาก่อน มีปัญหาภาษาอังกฤษก็ปรึกษาได้เช่นกัน
- ไม่บังคับเครื่องเเต่งกายนักเรียน
- ตารางเรียน จะเป็นเเบบ หมุนวิชากัน โดยนักเรียนเลือกลงทะเบียนได้มากที่สุด 7 วิชา ใน คาบ A B C D E F G ใน 1 วันจะเรียน 6 วิชา การสับเปลี่ยนตารางเรียนให้ไปคุยกับ Deri Bash ที่ดูเเลเรื่องตารางเรียน
ข้อมูลเพิ่มเติม
- Gathering (9.55am.-10.20am.) วันจันทร์ พุธ และศุกร์
เป็นเวลาที่ครูเเละนักเรียนทุกคนจะมารวมตัวกันที่ห้องโถงกลาง (Great Hall) เพื่อเเจ้งข่าวสาร เเละทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ฟังเพลง จาก เพื่อนๆที่เข้า activity ร้องประสานเสียง
ครูทุกคนไป Gathering เเปลความได้ว่า ไม่มีเฝ้าประตูหอพัก “คิดจะพัก คิดถึง Gathering”
- Advisory (9.55am.-10.20am.) วันอังคาร
ต่างจากโรงเรียนในไทยที่นักเรียนจะพร้อมหน้าเจอครูที่ปรึกษาตอนเช้าตรู่ นักเรียนจะเจอ ครูที่ปรึกษา advisor ในช่วงเวลานี้เป็นการพูดคุยทั่วไป จัดเวรซื้อขนมมาเลี้ยงคนในกลุ่ม
Advisor จะคอยช่วยเหลือให้นักเรียน บรรลุ Requirement โรงเรียนและจบการศึกษาให้ได้
- Chapel (10.20am.-10.50am.) วันอังคาร
เนื่องจากเป็น โรงเรียนคริสต์ นักเรียนทุกคนจะเข้า chapel ช่วงเวลานี้
ไม่ใช่ครูทุกคนจะไป Chapel การเล่นซ่อนเเอบกลับหอยังพอเป็นไปได้เเต่มีความเสียงที่สูงตามไปด้วย
- Activity (30 min on Wednesday and 1 hr. on Thursday)
นักเรียนจะลงทะเบียน Activity ได้สามครั้ง (มี 3 Trimesters: ช่วง Fall, Winter, and Spring) เพื่อทำในกิจกรรมที่สนใจ เช่น Aikido, Acappella, Robot
สำหรับคนที่ไม่สนใจ 12th grade ไม่มีความจะเป็นต้องลงทะเบียน activity (เเต่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี) บาง Activity สามารถนำไปขอ service hour ได้ เช่น Green House “มาช่วยครูทำสวนกันเถอะ” [recomended] Stagecraft (เกี่ยวกับการเตรียม Play ซึ่งเป็นการแสดงใหญ่ของโรงเรียนที่จะจัดทุก Trimester)
- X period (10.20am.-10.50am.)
Gathering or Advisory or Activity พูดง่ายๆ คือ แล้วแต่วัน
- คือโรงเรียนจะฉาย Projecter ใน Great Hall ทุกวันว่าแต่ละวันจะมีอะไรเกิดขึ้น เช่น คาบแรกเป็นคาบอะไร (A-F) มี Gathering ไหม หรือมีกิจกรรมอื่นแทน เป็นต้น
วิชาบังคับ
- English 11 กรณีภาษาเเข็งเเกร่งซึ่งปกติเป็น class ของ Junior (11th-grade) หรือ English 10 คู่กับ ESL English 10 กรณีภาษายังไม่แข็งเเต่แกร่ง
- US History 1 ตัว มีวิชา ESL American Study ที่ง่ายมาก(สำหรับ นักเรียน นานาชาติ) วิชาอื่นก็ยากกว่ามากตามลำดับ โดยที่จะเรียน ESL ก่อนเทอมแรก แล้วเรียน US History ในเทอมหลัง
- Science 1 ตัว เเละ Math 1 ตัว TS ไม่ค่อยมีปัญหากับวิชาพวกนี้ สามารถลงคอร์สยากๆ ได้ ปล อาจจะชอคตายได้ถ้าเจอ Python ใน Linear Algebra
To be more specific กับปีล่าสุด by TS59 (อันนี้เป็นแค่เทอมแรก เพราะตอนนี้พี่พึ่งจะกำลังเริ่มเทอมสอง 555)
- English 11 สอนโดย Alana Kaholokula (ไม่ต้องแปลกใจ อาจารย์เป็นคนฮาวาย 555)
ต้องเริ่มก่อนว่าก็น่ากลัวพอสมควรเพราะตั้งแต่มีคนถามว่าเรียนอังกฤษกับใครแล้วตอบว่า Alana ทุกคนก็บอกว่าให้เกรดยาก (ยังไงซะคิดว่า TS น่าจะเจอคนนี้ทุกคนเพราะเจอ Alana ติดกันมาหลายปีแล้ว) ในวิชานี้ถ้าจะพูดง่ายๆ ก็คือวิชา Literature โดยปกติจะมี Poem ให้อ่านทุกวันในคาบ แล้วก็ discuss กัน แล้วก็จะมี reading assignment ให้อ่านเป็นปกติ โดยก็จะออกแนว narrative นิดๆ เพราะเป็น literature ที่สำคัญมากๆ คือ ช่วง October จนจบปี วิชานี้จะมีงานที่ทุกคนต่างเกรงกลัวคือ Literary Journalism Project (LJP) ซึ่งนักเรียนจะต้องหาเรื่องที่สนใจใน Portland แล้วเขียน Narrative Writing ที่ยาวใช้ได้ (ปกติประมาณ 10 หน้า) การทำ LJP นักเรียนจะต้องไปสัมภาษณ์ (Interview) คนข้างนอกที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่จะทำ ออกไปสำรวจพื้นที่จริง (Site Visit) แล้วก็ต้องหาหนังสือหรือ sources อื่นๆ มาทำ (อย่างต่ำ ต้องมีหนังสือหลักหนึ่งเล่ม แล้วก็พวก Magazine 1 source) นับว่าเป็นงานที่ท้าทายมาก ซึ่งตอนที่พี่ทำตอนแรกก็เซ็งอยู่แบบจะให้ไปเริ่มยังไง ก็พึ่งจะมาถึงนี่ จะไปรู้อะไรเกี่ยวกับ Portland แต่ก็ไม่ต้องคิดมาก มีปัญหาอะไรปรึกษาอาจารย์ได้ตลอดแล้วเดี๋ยวมันก็จะออกมาเอง พอพี่เริ่มทำมันก็ดีขึ้นเรื่อยได้ลองเดินทางไป Site Visit ด้วยตัวเอง ได้คุยสัมภาษณ์คนอื่น (จะไม่พูดถึงหาหนังสือไรละกันเพราะเซ็งพอสมควรตอนแรก 555 แต่ถ้าคิดว่าสนใจเล่มไหนหลังจากหาข้อมูลดูก็ส่งเมลไปถาม Chrsi Myers ได้ เค้าทำงานห้องสมุดซึ่งก็ให้เค้าช่วยหาให้ได้) ทีนี้มันจะเริ่มเพลินตอนเขียนอะ ใครมันจะไปคิดว่าตัวเองจะนั่งเขียน Narrative Writing เป็นสิบหน้าได้ 555 คือเสร็จแล้วก็ภูมิใจอยู่ มีปัญหาการเขียนก็ปรึกษาอาจารย์ได้ตลอด (มีคนนึงชื่อ Robin Weitzer เค้าช่วย TS เกี่ยวกับภาษาอังกฤษมานาน เพราะฉนั้นให้เค้าช่วยดู LJP ได้ รวมถึง College Essays และ TOEFL และอื่นๆ เป็นคนที่ช่วยได้ดีมาก) ทีนี้พอเริ่ม Jan ซึ่งยังเป็น Fall term อยู่จะต้องมีอ่าน The Great Gatsby ซึ่งคิดว่า TS บางคนคงได้อ่านที่ Brewster ก็ท้าทายนิดหน่อยกับคนที่ไม่เคยอ่าน Novel พอพ้นเทอมแรกก็จะเจอกับมหันตภัย Novel ให้อ่านมากมายซึ่งพี่ก็ยังไม่เจอ เดี๋ยวรอดู 555
- ESL-American Studies สอนโดย Brad Hoffman ซึ่งเป็น Dorm parent เพราะฉะนั้นก็คุยกันได้อยู่ 555 เป็นคนมึนๆ ดี แล้วก็แลดูสนใจ English and History มากๆ ถ้าชวนคุยเรื่องแนวนั้นคิดว่าคงคุยได้ทั้งวัน 555 (จริงๆ ชื่อ Bradley)
ถึงจะชื่อ ESL แต่หาใช่อังกฤษไม่ นี่มัน History ชัดๆ!!! Class นี้ก็ tough พอสมควรเพราะต้องมาเจอกับ reading again แต่อันนี้จะออกแนว History อ่านไปเหอะตั้งแต่ The Declaration of Indepentence, Cold War, WWI, Vietnam War, blah blah ซึ่งความเห็นส่วนตัวคิดว่าน่าจะได้เกรดแย่สุดในวิชานี้เพราะตัวเองก็ไม่ถนัดสังคม 555 ไหนจะต้อง participate ใน discussion อีก แต่ยังดีที่พอเขียน Essay ไรงี้ไหวเลยไม่ได้แย่เกินไป (ส่วนตัวคิดว่าให้เกรดยากกว่า Alana) อีกอย่าง class นี้เป็น class เทอมแรกเทอมเดียว ก็เจอต้องย้ายไปเจอ US History I จริงๆ ช่วงเทอมหลัง
- Linear Algebra สอนโดย Lauren Shareshian เป็นอาจารย์ที่ชิวมาก แลดูเป็นคนเฮฮาก็สนุกดี
ถ้าคิดในเชิงเลขวิทย์ คิดว่าอันนี้ยากสุดละ Cal BC นี่ถอยไป 555 โดยจะมีอยู่สามสี่ topic ที่ต้องเรียน topic แรกก็ชิวๆ อะ Matrix เรียนไปก็ทวน ม.ปลาย ที่ไทยไป ตอนเรียนนี่แบบคิดว่าจะชิวละ ปรากฏพอเริ่มเรื่องที่สอง "Python" เท่าั้นแหละ มึนไปนานพอสมควร นี่ขนาดคิดว่ามีพื้นฐานการเขียนโปรแกรม 555 แต่ก็ผ่านไปได้ดีไม่มีปัญหา แต่ปัญหาเริ่มหลังจากนี้คือเรื่องที่ 3 Vector Space & Supspaces ขอบอกว่าที่สุดแห่งความงง เรียนไปไม่เข้าใจว่าเรียนอะไรอยุ่ 555 ตอนสอบคะแนนก็ปลิวพอสมควรดีนะมี part อื่นดึงขึ้นไม่งั้นเกรดร่วง 555 ส่วนหน่วยหลังสุดของเทอมแรกคือพวก Determinant & Eigenvalue & Eigenvector ก็พอทำได้ไม่มีปัญหาเท่าไร แต่เราจะเจอก่อนจบเทอมอีกครั้งกับ Python ซึ่งก็ใช้เวลาทวนนานพอสมควรเพราะลืมไปหมดแล้วถึงแม้จะแค่เดือนกว่า แต่ต้องเข้าใจว่าเดือนกว่าๆ นั้นมันรวม Chirstmas Program ซึ่ง TS ทุกคนจะมาเจอกันอีกครั้ง เรียนได้ว่าทำความรุ้ในหัวไปหมด 555 แต่คิดว่าถ้า control ดีๆ ก็ไปได้ดีได้กับ class นี้ class นี้ก็เป็น class เทอมเดียว
- Honors Chemistry สอนโดย Dr. Bevin Daglen เป็นคนที่ชิวๆ เรียนสนุก ลุกนั่งสบาย ยิ้มแทบตลอดเวลายกเว้นไปคุยกับเค้าแล้วเค้างงก็จะทำหน้ามึนใส่ 555
จากประสบการณ์แล้วนั้นไซร้ คิดว่ามันง่ายเกินไป 555 คือโรงเรียนนี้ไม่มี AP วิชาวิทย์ด้วยเลยง่ายไปใหญ่ แบบวนอยู่กับ Lab ความหนาแน่นเป็นเดือน 555 ก็เรียนได้ชิวๆ ส่วน Honors วิชาอื่นก็คิดว่าชิวไม่ต่างกันจากประสบการณ์ที่เพื่อนมาถามชีวะทั้งที่ตัวเองอ่อนชีวะที่สุดแต่ก็ยังสอนเพื่อนได้ เพราะฉะนั้นก็ชิวๆ ไป 555 อย่างไรก็ตามยังมีข้อสงสัยคือ class นี้ปกติมี resquirement ให้ทำ Science Research Project (SRP) ซึ่งต้องทำ research ตามความสนใจแล้วพี่ก็ทำซึ่ง consume เวลามากๆ แทนที่จะได้อ่าน SAT TOEFL หรือทำการบ้าน บลาๆ แต่พี่ก็ได้ยินมาว่าปีก่อนๆ ก็ลงแต่ไม่เห็นต้อง SRP เพราะฉะนั้นให้แนะนำลองคุยกับอาจารยืก่อนเผื่อจะไม่ต้องทำจะได้มีเวลาเยอะๆ อีกอย่างคือ จริงๆ แล้ววิชานี้เป็นวิชายาวตลอดเทอม แต่พี่เลือกจะ Drop เพราะเทอมสองพี่มี Chemical Synthesis ซึ่งยากและท้าทายกว่า แล้วการลงวิชาซ้ำๆ กันก็จะดูไม่งามสำหรับ College เท่าไร 555
- AP Calculus BC สอนโดย Dr.Gregory Drugan เป็นคนที่ตรงนิยามคำว่า Ph.D. Math มาก คือดูงงๆ เหมือนจะคุยเรื่องปกติไม่เป็น 555 แต่ยังไงซะ เค้าสอนดีมากเรียนแล้วเข้าใจหมด แล้วด้วยความที่เขาเป็น Ph.D. ด้วยก็ตอบคำถามได้ดีสุดๆ (ไม่รู้ว่าเค้าเขียน recommendation ดีไหม แต่พี่ไม่ได้ให้เค้าเขียนเพราะคิดว่าอาจจะเขียนไม่รุ้เรื่อง 555 ความเห็นส่วนตัวนะ อย่าเอาไปคิดมาก)
เป็นวิชาที่สนุกมาก คือเค้าสอนดีบวกกับด้วยความที่เขามึนๆ ดีกรี Dr. เลยทำให้ฮาในเวลาเดียวกัน 555 ถ้าทำได้อะไรได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร เป็น class ที่ควรค่าแก่การเรียน ส่วนค่อยเป็นค่อยไปเป็น step ต่อให้ no idea about math ก็คิดว่าพอไปได้ เป็น class ยาวตลอดปี
- Marine Ecology สอนโดน Rob Orr เป็นคนที่มึนอีกเช่นเคย (ไม่เข้าใจว่าทำไมดูมึนๆ ทุกคน หรือว่าคิดไปเอง 555) สอนชิวๆ สบายๆ Happy teacher Happy Class
เป็นคลาสเทอมเดียวโดยปกติจะมีเนื้อหาหลักๆ เกี่ยวกับ Marine เช่น พวก Ecosystem, Global Issue, Human Interaction, blah blah ซึ่งเรียนชิวๆ งานน้อย ส่วนใหญ่เป็น Presentation ซึ่งก็ถูไถง่ายๆ ไม่ยาก พูดง่ายๆ คือเป็น class ที่ชิวสุดในทุก class และที่สำคัญที่สุด Class นี้มี Trip ให้ออกไปเรียนรู้นอกห้องเรียน ซึ่งพี่ได้ไปกิน Oyster ฟรี (คนละตัวพอมันแพง 555) ไปพิพิธภัณฑ์ ไปสำรวจชายฝั่งทะเล (ไม่ใช่ให้คนเล่นน้ำ) แบบเป็นโขดหิน ก็เห็นความแตกต่างของทะเลไทยกับที่นี่ได้ดี แล้วก็ได้ดู Tide Pool ซึ่งก็แปลกใหม่พอสมควร แต่ที่พักแย่ไปหน่อย พี่ไม่อาบน้ำอะ รันทดเกินไป 555 ปล เจอแมวน้ำจริงๆ แบบในระบบนิเวศด้วย ก็แปลกดีน่ารักด้วย 555
ชีวิตในหอพัก
- เน็ต upper school ตัด 11.00 pm. เเละห้ามออกจากห้อง เเล้วเน็ทกลับมาติดเวลา 5.30 am. (คืนวันศุกร์ เเละ วันเสาร์ เน็ท ตัด 1.00 am.)
การใช้เน็ทหลัง 11.00 pm ยังเป็นไปได้ หากได้รับความร่วมมือจาก เพื่อนหอพักๆผู้มีประสบการณ์ช่วยเหลือ
- หอพักมักมีกิจกรรม ขับรถพาเด็กไปเที่ยวเสมอๆ การไปร่วมกิจกรรม
- ครูหอคือพ่อเเม่ที่ปรึกษาได้ทุกเรื่องไม่ว่าเรื่อง ขาดทิชชู่ ยันประตูห้องหาย
- เครื่องซักผ้า เเละ เครื่องอบฟรี
- ห้องคู่ นอนกับรูมเมท (มีแค่ Prefect ที่มีห้องเดี่ยว ซึ่ง TS ก็นอนห้องคู่โดยปริยาย)
More Information about Dorm Life by TS59
- ต้องบอกก่อนว่าจริงๆ ก็เสียใจนะตอนแรกที่รู้ว่าได้ OES เพราะแบบไกลเพื่อนไรงี้ แต่ไอวันที่ออกจาก Brewster อะรู้สึกตื่นเต้นแทนไม่รู้ทำไม พอมาถึงปุ้บแบบนั่งรอรถจาก OES มารับที่ Portland International Airport ประมาณชั่วโมงนึงได้ตอนนั้นแบบมึนมากว่าแบบชีวิตนี้จะต้องทำยังไงต่อไป อยู่คนเดียวเบอร์ก็ไม่มีมีแต่ Wifi สนามบินลางๆ นั่งรอรถใครจากไหนก็ไม่รุ้มารับ ข้าวก็ไม่ได้กินเลยตั้งแต่เช้าผ่านมากเป็น 10 ชม. แบบรู้สึกเฟลพอสมควร พอรถมารับแล้วไปถึง dorm เท่านั้นแหละแบบแบกของไปวางในห้องเปิดประตูไว้ Dorm parent ก็เดินเข้ามาหาแบบเป็นไงเดินทางคุยสารทุกสุกดิบ (ขออภัยถ้าเขียนภาษาไทยผิด) แล้วก็แบบมีอะไรจะเอาไหมแล้วเค้าก็หยิบพวกผ้าปูที่นอนหมอนผ้าห่มมาให้ มาจัดเตียงให้เพราะบอกทำไม่เป็น แบบบอกเลยว่า First Impression หลังจากนั้นก็แบบ Dorm life ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ อะ แบบไม่เคยเสียใจเลยที่มาอยู่ที่นี่หลังจากวันนั้น Hppa life มาก
- ถ้าจะให้เสริมเรื่อง Dorm activity ก็ขอบอกว่า Dorm provides ให้หมดเลย วันนึงบอกอยากดูหนังเค้าก็บอกว่าให้จัด Activity ไหมพี่ก็เลยจัดการส่งเมลหา dormies (คนใน dorm) ทุกคนว่าเราจะมี activity ไปดูหนังเวลาช่วงนี้ๆ แบบ ชีวิตบรรเทิงเงินก็ไม่เสีย พวก Dorm activity เราไม่ต้องออกเองเลย เว้นแต่บางอย่างเช่น Sinju Sushi ซึ่งเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นหรูๆ ที่ Bridgeport (ปกไปดูหนัง) ซึ่ง dorm จะออกให้ครึ่งนึง เพราะค่าอาหารมันแพงแบบวันนึงไป 14 คนมั้งหมดไป 500 กว่าดอล แบบชอค 555 จริงๆ แล้วจะมีที่ดูหนังอีกที่ที่ใกล้และไปบ่อยกว่าคือ CENTURY 16 CEDAR HILLS ซึ่งปกติ dorm ก็ออกให้หมด พี่พูดได้ว่าเป็นคนนึงดูหนังบ่อยสุดใน TS รุ่นนี้ 555 ไม่เรื่องดังๆ พลาดสักเรื่อง
- "ครูหอคือพ่อเเม่ที่ปรึกษาได้ทุกเรื่องไม่ว่าเรื่อง ขาดทิชชู่ ยันประตูห้องหาย" ขอเสริมว่าจริงมากๆ มีปัญหาอะไรไม่ต้องกลัว ปรึกษา Dorm parent ได้เลยทุกคนใจดีและพร้อมช่วยเหลือดีมาก
- Prefect เป็นเหมือนนักเรียนที่จะมีอำนาจอย่างหนึ่งเหมือนการแจกใบสั่งเวลาทำผิด 555 ซึ่งที่นี่เรียกว่า Strike ซึ่งถ้าโดน Strike มากๆ ก็อาจจะต้องโดยเรียกไปคุย อีกอย่างนึงคือ โฮมรัน (ไม่รู้เขียนยังไง) ที่เอาไว้ลบ Strike ได้ ซึ่งจะได้เมื่อทำตัวดีๆ หรือได้เมื่อลาภลอย 555
- เราจะมีกลุ่มอยู่สองแบบใน Dorm คือ Prefect Group และ Dorm Family โดย Prefect group หลักๆ คือเอาไว้ทำงานพวกแบบทำความสะอาด Dorm ซึ่งจะเวียนกันและรวมตัวเวลามีเหตุฉุกเฉิน Dorm Family คือกลุ่มที่จะนั่งด้วยกันช่วง Family Dinner ซึ่งจะมีทุกวันศุกร์ 6:00 pm แล้วตามด้วย Dorm meeting ปกติก็เหมือนเป็น Family เดียวกัน
- ฝากน้องๆ TS60 ที่จะไป OES ทักทายเพื่อนพี่ด้วย Henry Banning (ปีน้องเป็น Sophomore) 555
- ลืมไปว่าพี่ไม่ได้ลงกีฬาเลย เลยแบบหาเพื่อนยากตอนแรก ก็ต้องพยายามหน่อย คือพอดีพี่ดวงดีที่ตอนวัน Orientation ไปนั่งติดกับเพื่อนคนนั้นแล้วเผอิญอยู่ Dorm family เดียวกันเลยคุยกันได้
Dorm Parents & Teachers
- ผู้แจกความสุขให้ Dorm Students ทุกคน
- Deri Bash
คนนี้เป็น Head หลัก ดูแลพวกตารางเรียนอะไรด้วย เพราะฉะนั้นถ้ามันปัญหาอะไรก็คุยกับ Deri ได้เสมอ แต่จะเป็นคนที่ค่อนข้างเป๊ะ บ้าทฤษฎี แล้วก็เคร่งกฎระเบียบ
- Peter Bounincontro
คนนี้สุดๆ ละ แบบเป็นคนนี้ที่สร้างความเฮฮาให้ Dorm Community ได้เสมอ คุยได้ทุกเรื่อง มีลูกชายสองคน กับ Baby girl หนึ่งคน บางทีถ้าอารมณ์ดีๆ ก็ทำ Hot Dog ย่างไก่หมูอะไรเป็นมื้อดึก แบบอร่อยมาก ไม่อยากบอก 555
- Brad Hoffman
คนนี้ก็ไม่รู้สิ แบบคือเป็นคนที่ยินดีให้ความช่วยเหลือตลอด ปรึกษาได้ แต่บางทีก็ทำพี่งงๆ แต่ก็เป็นคนที่ดีมากๆ ปรึกษาอังกฤษได้ด้วยเค้าเก่งมาก
- Tyler Green
คนนี้เป็นคนนำทีม Cross Country เพราะฉะนั้นช่วง Trimester แรกอาจจะโดน convince ไปลงทีมก็คิดดูดี 555 คนนี้เป็นคนไปรับพี่ที่สนามบินก็เป็นคนดีมาก แต่เห็น Dormies หลายคนบอกค่อนข้างเคร่งกฎพอสมควร แต่พี่ว่าเฉยๆ
- Sarah Grenert-Funk
คนนี้ตอนแรกพี่ไม่ชอบเพราะไม่ให้พี่ sign out 555 แต่จริงๆ เป็นคนดีมากแบบปรึกษาได้หมด อังกฤษก็ได้ เพราะเค้าสอน Emglish 11 มาก่อน ตอนนี้มีลูกคน แรกกำลังท้องอีกคน ถึงปีน้องคงได้เจอ baby อีกคน เป็นคนที่พาไป movie activity บ่อยด้วย 555
- Natasha Busick (Tasha)
คนนี้เป็น Dorm Mom พี่เอง ก็คืออยู่ใน Dorm Family เป็นอาจารย์สอน 5th grade เป็นคนที่ยิ้ตลอดเวลาไปไหนมาไหนก็ทักทาย รักสุนัขซึ่งเลี้ยงอยู่ตัวนึงชื่อ Benny เป็นคนที่ดีมากๆ อีกเช่นกัน แล้วก็จะจัด Church Activity ทุกวันอาทิตย์ ซึ่งไปเคยไปอยู่บ้าง เพราะมีเลี้ยงมื้อเย็นด้วย 555
- Stephanie Rankin
คนนี้มาปีพี่ปีแรก เค้าสอน PE ไรพวกนี้ใน Lower School (LS) and Middle School (MS) ก็อาจจะทำงานไม่เก่งมาก แต่คุยด้วยได้เฮฮา บางคืนว่างๆ ก็ให้เล่น Guitar Hero & Rock Band ก็แปลกใหม่ดีสนุกมาก
- ให้พูดโดยรวมๆ แล้ว คือ Dorm Parents ทุกคนดีมากๆ และพร้อมให้ความช่วยเหลือได้เสมอๆ
- คนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องก็มี Elaine เป็นพยาบาลซึ่งช่วยได้ดีมาก พี่เคยมีปัญหาส่งยาจากไทยไม่ได้ ซึ่งเค้าก็ให้คำปรึกษาเสมอๆ ว่าเป็นยังไง ได้ไหม มาคุยได้ตลอด Amanda ก็ดูแลคล้ายๆ กัน
- ต้องบอกว่าการที่เราเป็น Dorm Student และ TS ทำให้อาจารย์รู้จักเราเยอะมาก บางทีก็ตกใจแบบเดินไปอาจารย์ก็ทักแบบเรียกชื่อทั้งๆ ที่ไม่เคยเจอหน้า ไม่ได้อยู่ในคลาสหรืออะไรเลย แบบประทับใจที่อาจารย์ค่อนข้างใส่ใจนักเรียนทุกคน
การสอบ
- โรงเรียนไม่ใช่ศุนย์สอบ TOEFL, AP, SAT, ACT เเต่สำหรับเด็กหอ โรงเรียนจะจัดการรับส่งได้ถ้าติดต่อล่วงหน้า
- โรงเรียนมี หนังสือ SAT, AP, ACT ให้นักเรียนยืมอ่านได้ เเต่ไม่มีหนังสือคู่มือ TOEFL (คิดว่าปัจจุบันมี ถ้าไม่มีก็ไปขอ Robin Weitzer อย่างที่บอกไปใน part English 11)
Activity List
- อันนี้คือกิจกรรมที่เราจะต้องเจอเมื่อมาที่นี่ เขียนเอาไว้เพราะอาจจะงงได้เพราะเรามาเป็น Senior แล้วไม่รู้ว่าจริงๆ โรงเรียนมันต้องทำไรบ้าง by TS59
- Dorm Student Orientation
ไม่รู้ว่าเรียกเป็น Activity ได้ไหมแต่ก็เขียนเอาไว้ คือมาถึงเค้าให้นักเรียนใหม่ทุกคนที่อยู่ใน Dorm มาฟังปฐมนิเทศว่า Dorm เป็นไง โรงเรียนเป็นไง ก็แค่ประชุมทำความรู้จักไรเฉยๆ
- Scavenger Hunt in Down Town Portland
อันนี้หนุกเพราะจะได้นั่งรถบัสจริงๆ ออกไปที่เมืองใหญ่ Portland พร้อม Dorm student ใหม่ทุกคน ซึ่งห่างออกไป 15-30 นาทีแล้วแต่การจราจร แล้วก็จะได้ดูว่าเมือง Modern Modern มันเป็นยังไง Portland นับได้ว่าเป็นเมืองใหม่เพราะฉะนั้นพวกเทคโนโลยีอะไรจะทันสมัยแล้วก็แลดูใหม่ การเดินทางสาธารณะเราจะใช้ระบบชื่อ Trimet ซึ่งมี Application โหลดได้ฟรีเอาไว้ซื้อตั๋ว ปกติแล้วก็ซื้อแบบทีเดียวไปไหนก็ได้ทั้งวัน activity นี้เราก็จะได้รู้จัก Portland มากขึ้นรวมถึงคุยกับเพื่อนใหม่ๆ
- Senior Trip
เอาจริงๆ คือเปิดเรียนวันแรกของโรงเรียนนักเรียน Upper School (US) ทุกคนจะมาประชุมกันที่ Great Hall แล้วแยกย้ายไปทริปสามวันสองคืนแบ่งตาม Grade (Freshman-9th grade, Sophmore-10th grade, Junior-11th grade และ Senior-12th grade) ซึ่งสำหรับ Senior Camp จะได้คุยเรื่องหลักๆ คือ Senior Entrance (บอกเลยว่าตอนแรกไม่รู้คืออะไร) ซึ่งจะเป็นเหมือน Theme ของโรงเรียนตลอดปีซึ่งนักเรียนจะ duscuss และ vote กันเพื่อให้ได้ Theme ออกมาแล้วแบ่งงานว่าแต่ละคนต้องทำอะไร โดยในวันงาน Senior จะเดินขบวนอารมณ์ว่าบอกว่า Theme ปีนี้คือ ... แล้วก็บอกว่าเราจะมีกิจกรรม Art Athletic Aแademic อะไรก็ว่าไป ซึ่งพี่ก็ไม่ได้ทำไรมาก ไปถือหลอดทดลองใส่น้ำแข้งแห้งให้ใน part ของ Science 555
- Octoberim
คล้ายๆ Winterim แต่อันนี้จะจัดช่วง Long Weekend เป็น Oct (ดังนั้น เราไม่มี Long Weekend 555) โดยที่ก็เหมือนกันคือให้ sign up ว่าจะทำไร แต่อันนี้มีจุดประสงค์หลักคือให้ทำ service ซึ่งพี่ก็ไปทำสวนก็เหนื่อยอยู่ แต่ก็ได้ service hours ไปโดยไม่ต้องสรรหา (อย่างที่บอกโอกาสให้ทำเยอะ)
- Halloween
ไม่มีไรหรอกแค่ทุกคนจะแต่งตัวยังไงก็ได้แล้วก้จะมี Formal Dinner ให้แต่งตัว Formal หรือชุดผีกากีซัมติงแล้วแต่ แล้วก็ถ้าว่าง็ออกไปล่าขนมลูกอม 555
- College Stuff
จริงๆ คือ ไม่รุ้จะเรียกว่าไรดี 555 คือมันจะมีวันหยุด พฤหัสบดี กับศุกร์ตอนต้น Nov ซึ่ง grade อื่นๆ จะต้องทำอะไรสักอย่างจำไม่ได้ ยกเว้น Senior โดยที่ Senior จะต้องทำงานเกี่ยวกับ College ในห้องสมุดโดยที่จะมี College Couselor กับ English Teacher ช่วยเหลือตลอดเวลา ก็เป็นเวลาทำงานที่ดี พี่ก็เขียน Common App ได้เยอะพอสมควร แล้วก็แก้ Personal essay ได้ productive อยู่
- Thanksgiving Break
เป็นเวลาแห่งการพักผ่อนซึ่งพี่เลือกที่จะอยู่กับ Host Family (ให้ปรึกษา Dorm parent ไว้ก่อนว่าจะเอายังไง จะเที่ยวหรืออยู่กับ Host หรืออยู่กับเพื่อน) โดย Host พี่เป็น Japan-US เรียกได้ว่าแบบเป็นช่วงเวลาที่ดีมากได้เจออะไรใหม่ เขาพาไปเที่ยวนู่นนี่กินอาหารไทยจีนญี่ปุ่น แล้วก็อาหารช่วง Thanksgiving แบบ US ดู The Lord of the Ring 3 ภาครวด นับว่ามีความสุขมาก ปล ไม่ได้ออกตังเลย 555 ปล2 ต้องแบ่งเวลาทำพวก College Application ด้วย กับอ่าน SAT TOEFL ไรงี้
- Assessments
พูดง่ายๆ คือ Mid-Term Exam ก็แล้วแต่คลาส แต่ปีพี่หิมะตก (สำหรับฝั่งนี้ถ้าหิมะตกคนจะตกใจกลัวแล้วโรงเรียนจะหยุด เราก็ Happy 555) เลยเลื่อนไปปีหน้า (เดือน Jan) แทน
- Chrstmas Program
Happy and Stressful Time ที่ TS จะได้เจอกันอีกครั้ง ไม่พูดมากเพราะเดี๋ยวก็รู้เองว่ามันล้ำค่ายังไง ปล กินอาหารไทยทุกวัน 555
- คิดว่าหลักๆ ก็ประมาณนี้ 555 แบบหมายถึงแค่จนถึงจบเทอมแรกอะนะ
ถ้าเริ่มอยากมาที่นี่ “อย่าอ่าน part นี้นะครับ”
สำหรับเนื้อหาต่อไปนี้ จะเป็น เรื่องเล่า, เเละการเปรียบเทียบข้อดีข้อด้วยของโรงเรียน จากทัศนคติ ของ นักเรียนรุ่นก่อนๆ
- เคยมีนักเรียน TS ลาออกเพราะ วิชาที่ลงสั่งงานมากไป จัดการเวลาไม่ได้ หลังจากนั้น OES ก็ไม่บังคับให้นักเรียน TS ลงวิชายากๆอีกเลย (ให้ลงง่ายๆแทน)
- College Counselor มีน้อย เเค่ 2 คนจากนักเรียน 70-80 คน พวกเธอไม่ค่อยมีข้อมูลเกี่ยวกับ TS stat ดังนั้น ดังนั้นคำแนะนำจึงตัดพ้อกำลังใจอยู่บ้างเพราะ ถูกไปเทียบคะเเนนกับเกณฑ์เด็กพื้นที่
- อาหาร... มีนักเรียนไทยที่เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส ลดน้ำหนักได้หลายกิโลเลยทีเดียว (TS59 ส่วนตัวคิดว่าดีกว่า Brewster ปล น้ำหนักขึ้น 555)
- มี fitness เเต่ห้องค่อนข้างเล็ก เเละคนทีเล่นกล้ามอยุ่ข้างๆ ค่อนข้างตัวใหญ่ ไปทีนึงรู้สึกเกรงใจฟ้าดินไม่น้อย
- อากาศ ยืนยันว่า ดีที่สุดในทุกเพรพ เนื่องจาก ฝั่งตะวันตกอากาศดีกว่าฝั่งตะวันออกค่อนข้างมาก ระหว่างที่เพื่อนๆนั่งคางสั่น ฝ่าพายุ เด็ก TS OES ใส่เเตะโรงงาน ปั่นจักรยานไปซื้อของ
- เเม้อากาศจะดี ต้นไม้ให้ร่มเงา เเต่ความเหงายังกัดกินหัวใจ
- เนื่องจากอยู่ฝั่งตะวันตก จึงไม่มีโอกาสได้ไป visit โรงเรียนอื่นเลย
- วันหยุด spring break น้อยกว่าเพื่อนโรงเรียนอื่นประมาณ 7 วัน ปิดเทอมช้ากว่าเพื่อนประมาณ 18-20 วัน (คาดว่านี่น่าจะเป็นด่านที่ ทรมาน เเละท้าทายที่สุด) จริงๆ แล้ว Spring Break ควรจะยาวเป็นปกติ แต่ชช่วงอาทิตย์แรกนักเรียนทุกคนจะมีกิจกรรมเรียกว่า Winterim ซึ่งนักเรียนต้อง sign up ไปทำกิจกรรมต่างๆ ตามสนใจอะไรก็ได้ มีทั้งแบบเที่ยวฟรีและเสียตัง ไปทำ meditation ปีนเขา เล่นสกี dog sledding เล่น surf ดูดาว ตั้ง camp ทัวร์ New York Washington DC หรือทัวร์ต่างประเทศ ทัวร์ Portland เป็นต้น ซึ่งกิจกรรมยิ่งดูดีอย่าเงที่ยวไกลๆ ก็ต้องเสียตังตามระเบียบ 555 แต่อีกแบบที่มีคือแบบที่เป็นการทำ Service ก็คือพวกจิตอาสาทำนู่นนี้ซึ่งต้องลองคุยกับ Robin Schauffler ดูอาจจะทำเป็น Project ได้เลยก็ได้ ตามนี้ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเบรกถึงได้สั้น
- โรงเรียนอื่นเค้าไม่เห็นต้องทำ service hour กันเลย -- เอาจริงๆ คือแปปเดียวก็เสร็จเพราะมี Opportunity ให้ทำเยอะมาก บางทีก็เสร็จไม่รุ้ตัว
By TS59 again
- อย่างแรกก็คงไม่พ้นเรื่องระยะทางและกาลเวลา OES เป็น prep school เดียวที่ TS ไปที่อยู่ West Coast สรุปคือถ้าอยากเจอเพื่อนทางเดียวที่หนีไม่พ้นคือต้องนั่งเครื่องบินไปหา แต่ก็ใช่ว่าจะคุ้มเพราะนอกจากระยะทางแล้ว Break ต่างๆ ก็สั้นและไม่ตรงกับเพื่อน ทำให้โอกาสเจอเพื่อนน้อยมากๆ พี่ได้เจอเพื่อนแค่สองครั้งคือ Summer ที่ Brewster กับ Christmas Program ซึ่งก็ถ้ารับมือความเหงาไม่ได้ก็คงเครียดพอสมควร
- คิดหนักช่วง Break ว่าจะทำยังไง Thanksgiving อาจจะไม่มีปัญหาเพราะเราอาจจะลองไปอยู่กับ Host เก็บประสบการณ์ใหม่ๆ แต่ Spring Break เรามีแค่อาทิตย์กว่าๆ จะไปหาเพื่อนก็ไม่ตรงจะเจอก็ไม่กี่วันค่าตั๋วก็แพง ไปเที่ยวเองก็ต้องไปคนเดียว (ถ้ามี OES คนเดียวแบบพี่) อาจจะต้องเสียเงินเยอะ จะอยู่กับ Host อีกก็อาจจะเบื่อ จะอยู่กับเพื่อนก็เกรงใจหรือไม่สนิทพอ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ก็เป็นปัญหาพอสมควร (ซึ่งพี่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ 555)
- เน็ตตัด 11:00 pm ทำให้ต้องเรียนทำงานตั้งแต่เรียนเสร็จ ส่วนตัวแล้วพี่ว่าการบ้านไม่ได้เยอะหรือน้อยไปกว่า Brewster แต่ตอนช่วงนั้นพี่ทำได้ไม่มี limit ต่างกับที่นี่ที่มี light out and internet cut down ทำให้พี่ต้องใช้เวลาปรับตัวนานมาก ปกติแล้วเรียกได้ว่าพี่แทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่นเลย แค่ทำการบ้านอย่างเดียวก็ถึงเวลา light out แล้ว แม้ว่าพี่จะไม่ได้ลงกีฬาอะไรเลย ปัญหานี้ทำให้ต้องรู้จักแบ่งเวลามากๆ ยิ่งถ้าลงกิจกรรมอะไรเยอะ ต้องเตรียมตัวสอบ SAT TOEFL ต้องเรียน ต้องทำการบ้านรักษาเกรดให้ดี ต้องคุยกับเพื่อนเพื่อสร้าง community หลายๆ อย่างมันทำให้กดดันได้ง่ายมาก โดยเฉพาะช่วงที่มี LJP และ SRP มารุมบวกกับใกล้สอบต่างๆ
- อาจจะได้รับจดหมายบ่นมาจาก OEA (สนร) บ่อยๆ ให้ชำระค่าใช้จ่ายส่วนตัว ซึ่งปกติพี่ก็เสียจากไป Dorm activity ที่เสียตัง ซึ่งจำนวนเงินไม่แพงไม่ใช่ปัญหา แต่ระบบจะส่งอีเมล์ไปหา OEA โดยตรงซึ่งยกเลิกไม่ได้ทำให้อาจจะเจอจดหมายบ่นได้ แต่จริงๆ ก็ไม่ได้มีผลอะไรเพราะจดหมายนั้นช่วยให้เรารู้ว่าต้องจ่ายอะไรบ้างด้วย
ถ้าคุณเริ่มสนใจใน OES... Part นี้จะทำให้คุณไม่อยากเปลี่ยนใจไปไหนอีก
ทำเนียบ Thai Scholars
- TS57 (2014-2015): ภารุจ ราชบริรักษ์ (ใหม่/ใหม่ซี่/ใหม่ซี่ซีทรู/ใหม่ไม่สนิทอย่าติดตลก) ทุน พสวท. ฟิสิกส์ [University of California, Santa Barbara]
- TS58 (2015-2016): พรหมณชนก เกตุพันธุ์ (พรหม/ฝรั่งเรียก Prom) ทุนกองทัพบก [The Citadel: The Military College of South Carolina]
- TS59 (2016-2017): นิชกานต์ คุ่ยจาด (เฟือง/Fuang) ทุน พสวท. เคมี Facebook: Nichakan Khuichad